GLAND จบตำนานโยธิน บุญดีเจริญ (โดย อีหล่าน้อย เว็บ Share2Trade)

http://www.share2trade.com/index.php?route=content/content&path=9&content_id=3598

        กรณีกลุ่มจิราธิวัฒน์ โดยบริษัท เซนทรัลพัฒนาจำกัด(มหาชน)หรือ CPN ใช้เงิน10,162.21 ล้านบาท เพื่อเข้าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ บริษัท แกรนด์ คาแนล แลนด์ จำกัด(มหาชน) หรือ GLAND ในสัดส่วน 50.43% ที่ 3.10 บาท/หุ้น พร้อมเตรียมเงินสดจำนวนใกล้เคียงกันเพื่อทำเทนเดอร์ฯส่วนที่เหลือเพื่อถอนตัวออกจากตลาด โดยตั้งเป้าหมายต้องการเป็นเจ้าของโครงการแกรนด์พระราม9 ตรงสี่แยกรัชดา-พระราม 9 บนพื้นที่73 ไร่ มูลค่า 1.1 แสนล้านบาท อาจจะสร้างมิติให้กล่าวถึงได้หลายหลากมาก

    1 ในหลายมิติที่ว่า หนีไม่พ้นปฏฺิบัติการ "ล้างมือในอ่างทองคำ" ของนายโยธิน บุญดีเจริญ นักบุกเบิกรุ่นแรกของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยที่ทิ้ง "ภารกิจที่ยังไม่เสร็จสิ้น" ให้คนอื่นสานต่อไป

    ส่วนประเด็นความสัมพันธ์ในฐานะพันธมิตรธุรกิจระหว่างบุญดีเจริญ-รัตนรักษ์ คงต้องว่าแยกออกไปต่างหาก
นายโยธิน บุญดีเจริญ ทำธุรกิจบริหารธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลมายาวนาน จนยากจะนับได้ว่าผ่านมาแล้วกี่ปี รู้กันแต่ว่าบนเส้นทางที่ผ่านหนาวผ่านร้อนมามากมายหลายทศวรรษนี้ นายโยธินคือ ผู้บริหารคนแรกของบริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด พร้อมกับโครงการบ้าน "เมืองทองนิเวศน์" อันโด่งดังในอดีต และเป็นต้นกำเนิดของโลโก้ "ช้างเอราวัณ" ของบริษัทดังกล่าวซึ่งเขากล่าวเสมอว่า "ยืมเอามาจากกทม."

    หากนับทางเครือญาติ โยธินไม่ใช่คนอื่นไกล เขาคือทายาทของนายเจริญ บุญดีเจริญ ซึ่งเป็นพี่ชายของ นางศิริวรรณ กาญจนพาสน์ ภรรยาของนายมงคล กาญจนพาสน์ เจ้าของอาณาจักรกาญจนพาสน์ เท่ากับมีศักดิ์เป็นหลานภรรยา ของนายมงคล และเป็นลูกพี่ลูกน้องของนายอนันต์-คีรี กาญจนพาสน์

    นายโยธิน เรียนจบด้านบริหารใหม่ๆ ก็เข้ารับงานใหญ่ในฐานะผู้บริหารสูงสุดของบางกอกแลนด์  เพื่อพัฒนาโครงการเมืองทองนิเวศน์ 1 ที่เป็นที่ดินของกลุ่มเมืองทอง ซึ่งเป็นของ 5 ตระกูลใหญ่ นั่นคือ กาญจนพาสน์,มหาดำรงค์กุล,สนิทวงศ์ ณ อยุธยา,โกสิยกุล และกลุ่มวงศ์สงวน

    ทำงานในฐานะลูกจ้างมืออาชีพยาวนานจนร้อนวิชา ทำให้ในปี 2523 ที่ภูมิศาสตร์การเมืองโลกและไทยเริ่มเปลี่ยนรุนแรง โยธินก็ขอแยกตัวออกมาเปิดบริษัทอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน และห้างสรรพสินค้ากับน้องชาย นายธาตรี บุญดีเจริญ ภายใต้ชื่อ บริษัท ยูนิเวสท์ จำกัด โครงการที่สร้างชื่อ คือ เมืองเอกย่านรังสิต และอาคารยูนิเวสท์ทาวเวอร์ สีลม (ปัจจุบันคืออาคารซีพี ทาวเวอร์)

    แม้จะประสบความสำเร็จทางการตลาด แต่จุดอ่อนของยูนิเวสท์กรุ๊ป ซึ่งนายโยธินมอบบทบาทให้น้องชาย นายธาตรี เป็นผู้กุมบังเหียนคนสำคัญ คือหนี้เยอะท่วมตัว เพราะยุทธศาสตร์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยามนั้น เน้นการสะสมแลนด์แบงก์รองรับโครงการในอนาคต ซึ่งในยุคที่เครื่องมือทางการเงินที่เกิดขึ้นไม่กว้างขวางเท่าปัจจุบัน และกลุ่มนี้ก็ยังไม่ได้เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้ก่อหนี้รูปแบบต่างๆมหาศาลเกินตัวมาโดยตลอด

    นายโยธินปลีกเวลามาสร้างคอนเนกชั่นกับกลุ่มซีพี ที่กำลังสบช่องหาทางเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เช่นกัน โดยก่อตั้งบริษัทสยามนำโชค จำกัด เพื่อทำโครงการศูนย์การค้าขนาดใหญ่โดยเริ่มยึดพื้นที่ "พรหมจรรย์" ย่านสี่แยกรัชดา-พระราม9 เป็นหัวหาดสำคัญ เริ่มต้นด้วยโครงการฟอร์จูนทาวน์ รัชดาฯ จากนั้นก็พาสยามนำโชคเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ

    ต่อมาโครงการของสยามนำโชคมีปัญหาเพราะกลุ่มซีพี ขาดคนดูแลธุรกิจ ต้องการถอนตัวจากธุรกิจที่ร่วมทุนกันมา ทำให้สบช่องให้ยูนิเวสท์กรุ๊ป เข้าไปซื้อหุ้นในบริษัทสยามนำโชคซึ่งอยู่ในตลาดหลักทรัพย์อยู่แล้วจากกลุ่มซีพี เป็นกรณีเทคโอเวอร์กิจการฉันมิตร กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ถึง 63% และเข้าตลาดหุ้น "ทางประตูหลัง" ด้วยวงเงินไม่มากนัก 2,272 ล้านบาท พร้อมมีแผนการที่จะผ่องถ่ายทางด้านการเงิน กำลังคน และทรัพย์สินของยูนิเวสท์เองเข้าไปรวมกับสยามนำโชคด้วยเพราะมองเห็นศักยภาพจากการที่สยามนำโชคเป็นกลุ่มที่มีที่ดินอยู่ในมือมากมาย ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน 20 ไร่ตรงหัวโค้งถนนอโศก ที่ตั้งของโครงการฟอร์จูนทาวน์ ที่ดิน 38 ไร่ ตรงข้ามสวนสนุกแดนเนรมิต ที่ดินที่บางปูอีก 300 ไร่ และที่ดินที่อำเภอวังน้อย อยุธยาอีก 1,400 ไร่ รวมทั้งโครงการฟอร์จูนทาวน์ 20 ไร่ บนถนนสาธุประดิษฐ์ ซึ่งจะทำโครงการที่สร้างกำไรมหาศาลให้กับบริษัท

    การเข้าตลาดทางลัด เปลี่ยนชื่อสยามนำโชคเป็นยูนิเวสท์กรุ๊ป กลายเป็นการตัดสินใจ "ถูกที่ ผิดเวลา" เพราะเป็นช่วงที่ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ของไทยแตกพอดีก่อนวิกฤตต้มยำกุ้ง ผลพวงของการคาดการณ์ผิด ทำให้ยูนิเวสท์กรุ๊ปล่มสลาย หุ้นที่ถูกนำไปจำนองตามที่ต่างๆ และหนี้สินถึกเจ้าหนี้ยึดไปขายทอดตลาด ทรัพย์สินที่มีถูกกขายทิ้ง จนที่สุดบริษัทถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ นายโยธินและธาตรีหากหน้าไปจากวงการยาวนาน นายธาตรีไม่สามารถกลับมาได้ แต่ในที่สุดนายโยธินก็กลับมาจนได้พร้อมกับพันธมิตรใหม่ กลุ่มรัตนรักษ์ พร้อมความฝันครั้งใหม่ที่ใหญ่ไม่แพ้เดิม

    ปี 2552 นายโยธินและครอบครัว ตัดสินใจหวนสู่เส้นทางเดิม ดำเนินการส่ง บริษัท เจริญกฤษ เอ็นเตอร์ไพร้ส์ จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัวบุญดีเจริญ เข้าไปถือหุ้นใหญ่ใน GLAND (เดิมคือ มีเดียส์ ออฟฟิศ มีเดีย จำกัด(มหาชน) หรือ MEDIAS ตามคำเชื้อเชิญของ “กลุ่มรัตนรักษ” ที่เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น GLAND (โดยกลุ่มหลังนี้ ถือหุ้นผ่าน บริษัท กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ จำกัด(มหาบน) อยู่แล้ว 18.36% แต่เดิม

    GLAND ภายใต้การชี้นำของนายโยธิน ก็เดินหน้าปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ ด้วยการหันมารุกธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แทนธุรกิจด้านสื่อโทรทัศน์ และเริ่มต้นกับโครงการขนาดเล็กกับกลางจนเติบโตด้วยดี ก่อนที่จะหวนย้อนกลับมาทำ "ภารกิจในฝันที่ยังไม่แล้วเสร็จ" ด้วยการทุ่มงบลงทุน 110,000 ล้านบาท ในการก่อสร้างโครงการเดอะ แกรนด์ พระราม 9 พื้นที่ 73 ไร่ บริเวณสี่แยกพระราม 9

    โครงการดังกล่าวหากบรรลุเป้าหมายนอกจากจะทำให้มีแลนด์มาร์กใหม่ของกทม. ยังจะกลายเป็น "อนุสาวรีย์ของนายโยธินอย่างไร้กังขา เพราะภายในโครงการ ประกอบด้วย โครงการที่พักอาศัยคอนโดมิเนียม เบ็ล แกรนด์ พระราม 9 จำนวน 8 อาคาร 2,000 ยูนิต มูลค่า 14,000 ล้านบาท ปัจจุบันปิดการขายไปแล้ว 7 อาคาร ส่วนอีก 1 อาคาร 250 ยูนิต พร้อมเปิดขายปลายปี 2557 ราคายูนิต 5-30 ล้านบาท

    นอกจากนั้นยังมีอาคารสำนักงาน ประกอบด้วย จีแลนด์ ทาวเวอร์ ล่าสุดอยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2558 และเดอะ ไนน์ ทาวเวอร์ส ตึก A และตึก B ซึ่งเปิดให้บริการแล้ว 6 เดือน ปัจจุบันมีผู้เช่าแล้ว 90 เปอร์เซ็นต์ ขณะเดียวกันยังมีโรงแรมระดับ 4 ดาว จำนวน 285 ห้อง มูลค่า 2,000 ล้านบาท และศูนย์ประชุม, ห้องจัดเลี้ยง และศูนย์การค้าเซ็นทรัล พลาซา แกรนด์ พระราม 9 และเดอะ ช็อปปส์ แกรนด์ พระราม 9

    3 ปีมานี้ อัตรากำไรสุทธิของ GLAND โดดเด่นน่าสนใจกับอภิมหาโปรเจคต์ที่พระราม 9 อย่างมาก เพิ่งมาครึ่งแรกของปีนี้ที่อัตรากำไรสุทธิตกลงมาฮวบฮาบ  พร้อมกับตัวเลขกำไรที่ถดถอยลง และอัตราส่วนสภาพคล่องทางการเงินเริ่มติดลบ ตามมาด้วยคำถามและข่าวลือทางลบ

    คำถามหลักคือ ทำไมจุดไฮไลท์ของ โครงการคือ The Super Tower สูง 125 มูลค่าประมาณ 18,000 ล้านบาท โดยโครงการดังกล่าวมีความสูงถึง 615 เมตร ถือเป็นตึกที่สูงที่สุดในอาเซียน และสูงสุดติดอับดับ 1 ใน 10 จึงไม่ลงมือสักที

    ส่วนข่าวลือทางลบหลักคือ กลุ่มบุญดีเจริญและรัตนรักษ์เริ่มมีปัญหา "มองต่างมุม" กับโครงการ The Super Tower จนปิดไม่มิดข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรไม่แจ้งชัด แต่การขายทิ้งGLAND ชนิดไร้เยื่อใย อาจจะให้คำตอบดีสุด การตัดสินใจดังกล่าว แม้นายโยธิน จะไม่ประกาศเป็นทางการว่าเขากำลังล้างมือในอ่างทองคำ แต่ด้วยวัยที่เป็นอยู่ คงเป็นอย่างอื่นไม่ได้

///////////////////////
////////////////////////////////////
ขอบคุณบทความจาก
www.facebook.com/Share2Trade/
www.share2trade.com
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่